วิธีรักษาตาปลาที่เท้าง่าย ๆ ไม่ต้องทนรำคาญอีกต่อไป

 

 ตาปลา ก้อนหนังกำพร้าที่สร้างความรำคาญ และอาจสร้างความเจ็บปวดให้ใครหลายคน มาดูวิธีรักษาที่แสนจะง่ายจากของใกล้ตัวในบ้าน อยากให้เท้าเรียบเนียนสวยต้องรีบทำตาม


วิธีรักษาตาปลา

          ตาปลา หนึ่งในโรคผิวหนัง ที่แม้จะไม่มีความอันตราย แต่ก็สร้างความรำคาญใจได้ไม่น้อยเพราะเมื่อเป็นแล้วก็อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บได้ขณะที่เดินหรือสวมใส่รองเท้า ซึ่งวิธีรักษาเจ้าตาปลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีรักษาตาปลา ลองมาทำความรู้จักตาปลากันหน่อยดีกว่า

* ตาปลาเกิดจากอะไร แตกต่างจากหูดอย่างไร

          ตาปลา หรือที่มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Corn เป็นก้อนของหนังขี้ไคลที่หลายคนมักสับสนกับโรคหูด แต่ตาปลาเกิดจากการเสียดสีหรือกดทับของผิวหนังเรื้อรังเ­­ป็นเวลานาน เช่น การเสียดสีกันระหว่างเท้าและร­องเท้า บริเวณนิ้วเท้าที่กระดูกนิ้วเท้าเสียดสีกัน หรือด้านบนหลังเท้าที่เกิดจากการสวมรองเท้าหัวแบนเป็นประจำ ซึ่งแตกต่างจากหูดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถเกิดบริเวณใดก็ได้ที่ติดเชื้อ ไม่จำเป็นต้องมีการเสียดสี และหากลองใช้มีดฝานตาปลาบาง ๆ จะไม่พบจุดเลือดออกเหมือนหูด เพราะตาปลาจะเป็นหนังแข็ง ๆ ที่ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงเยอะ ๆ เหมือนหูด อีกทั้งตาปลาเองก็ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เหมือนหูดด้วย

วิธีรักษาตาปลา


ตาปลาอันตรายไหม

          ตาปลาจะเป็นตุ่มหนา แข็ง หรือผิวหนังหยาบ ๆ เฉพาะจุด กดแล้วเจ็บ ซึ่งอาการเจ็บปวดที่เกิดจากตาปลานั้น เป็นเพราะก้อนหนังขี้ไคลที่แข็งตัวถูกกดเข้าไปลึกในผิวหนัง หรือถ้าเป็นมากก็อาจจะไปกดทับกระดูกและเส้นประสาททำให้รู้สึ­­กเจ็บได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตาปลาไม่ใช่โรคติดเชื้อ หากรักษาตาปลาอย่างถูกวิธีและป้องกันดี ๆ ก็จะหายได้ไม่ยาก โดยวิธีรักษาตาปลาก็มีหลากหลายวิธีตามนี้เลย

วิธีรักษาตาปลา

          
1. ใช้หินขัดเท้าเบา ๆ

          แช่เท้าในน้ำอุ่นนาน 15-20 นาที เพื่อให้ตาปลานุ่มลง จากนั้นใช้หินขัดเท้าขัดเบา ๆ ซึ่งจะช่วยให้ตาปลาหลุดได้ แล้วใช้ครีมทาบำรุงเท้าโดยเฉพาะเพื่อให้ความชุ่มชื้น แต่วิธีนี้อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งกว่าตาปลาจะหายไป

          2. แปะพลาสเตอร์ยา

วิธีรักษาตาปลา


          ใช้พลาสเตอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก 40% ปิดบริเวณตาปลาประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้นลอกพลาสเตอร์ออก แล้วแช่เท้าในน้ำอุ่นนาน 15-20 นาที เพื่อให้ตาปลานิ่มลงและลอกออกง่าย วิธีนี้ก็ควรต้องทำซ้ำบ่อย ๆ จนกว่าตาปลาจะหายไปด้วย

          3. ทายา

          แช่เท้าในน้ำอุ่นนาน 15-20 นาที จากนั้นเช็ดเท้าให้แห้ง และทาปิโตรเลียมเจลหรือน้ำมันมะกอกบริเวณรอบ ๆ ตาปลาเพื่อป้องกันกรดในตัวยากัดผิว จากนั้นจึงทายาที่มีกรดซาลิไซลิก หรือยาทารักษาหูดลงบนตาปลา วิธีนี้ก็ไม่ยากแต่อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งจนกว่าตาปลาจะหลุดออก

          4. ผ่าตัด

          หากตาปลาเป็นเยอะหรือรุนแรง ไม่สามารถรักษาด้วยยาได้ แพทย์จะฝาตาปลาออก หรืออาจต้องผ่าตัด ซึ่งวิธีนี้จะหายเร็วกว่าการใช้ยา ทว่ามีโอกาสจะเป็นแผลเป็น และต้องรักษาแผลผ่าตัดนาน และควรทำแผลให้ถูกต้อง เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่แผลได้ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดค่อนข้างสูงกว่าการใช้ยาค่อนข้างมาก

          5. รักษาด้วยเลเซอร์หรือการจี้ไฟฟ้า

          วิธีรักษาตาปลาด้วยความร้อน หรือเลเซอร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และอาจทิ้งรอยแผลเป็นได้ แต่จะทำให้ตาปลาหายเร็วกว่าการใช้ยา

          6. ใช้กระเทียมรักษา

วิธีรักษาตาปลา


          ฝานกระเทียมสดเป็นชิ้นหนา ๆ แล้วนำมาถูบริเวณที่เป็นตาปลา จากนั้นแปะกระเทียมกับตาปลาแล้วใช้ผ้าพันไว้ข้ามคืน ตื่นเช้ามาจึงค่อยแกะผ้าแล้วทำความสะอาดปกติ พอก่อนนอนก็ค่อยพันกระเทียมที่ตาปลาอีกครั้ง ทำต่อเนื่องกันประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรืออาจใช้มะนาวไม่ก็สับปะรดแทนกระเทียมได้ ทว่าวิธีนี้อาจไม่ได้ช่วยให้ตาปลาหายได้เท่าไรนะคะ

          7. เช็ดด้วยน้ำส้มสายชู

          กรดที่เข้มข้นในน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ผิวที่แห้งแข็งนิ่มลงได้ โดยนำน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำ 3 ส่วน แล้วใช้สำลีชุบน้ำส้มสายชูเจือจางทาลงบนตาปลา ปิดทับด้วยผ้าพันแผลทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นนำผ้าพันแผลออก แล้วขัดด้วยหินขัดเท้าเบา ๆ บำรุงด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว ทำซ้ำได้จนกว่าตาปลาจะหลุดออก แต่ควรระวังไม่ให้น้ำส้มสายชูที่ใช้เข้มข้นจนเกินไป

ใช้กรรไกรตัดหรือเฉือนตาปลาได้ไหม

วิธีรักษาตาปลา


          แม้ตาปลาจะเป็นหนังแข็ง แต่ก็ไม่ควรตัดหรือเฉือนตาปลาด้วยของมีคม เพราะอาจเสี่ยงต่อการเป็นแผลติดเชื้อที่ผิวหนังได้

ใช้ธูปจี้ตาปลาได้ไหม

          อีกหนึ่งวิธีที่มีการแนะนำกันอย่างแพร่หลาย ด้วยการใช้ความร้อนจากธูปจี้ตาปลา ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ตาปลาหายเลยนะคะ และอาจทำให้เกิดแผล ติดเชื้อ ต้องรักษาทั้งแผลและการติดเชื้อยาวไป ดังนั้นรักษาตาปลาด้วยวิธีอื่นที่ปลอดภัยเถอะ

ตาปลา ป้องกันได้ง่าย ๆ

วิธีรักษาตาปลา


          ถ้าไม่อยากให้ตัวเองต้องมานั่งรักษาตาปลากันทีหลัง ก็ลองป้องกันด้วยวิธีตามนี้ดู

          - สวมรองเท้าพื้นนิ่ม  

          - สวมรองเท้าที่ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป  

          -  เลือกรองเท้าให้เหมาะกับรูปเท้าของตัวเอง

          - หลีกเลี่ยงการใส่ส้นสูงนาน ๆ

          - หลีกเลี่ยงการเดินลงน้ำหนักที่เท้าอย่างไม่เหมาะสม

          - รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อลดแรงกดที่ฝ่าเท้า

          หากเป็นตาปลาแล้วก็พยายามลดแรงกดที่ตาปลาให้ได้มากที่สุด โดยอาจใช้ฟองน้ำ หรือแผ่นรองกันกัดรองส่วนที่เป็นตาปลาไว้ เพื่อกันไม่ให้หนังแข็ง ๆ ฝังลงไปในเนื้อเท้ามากขึ้น นอกจากนี้พยายามอย่าเดินเยอะหรือยืนนาน ๆ ด้วยนะคะ

          * หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 30 กันยายน 2563

ขอบคุณข้อมูลจาก
รายการสามัญประจำบ้านโรงพยาบาลสำโรงการแพทย์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์Youtube ใกล้มือหมอ Doctor Near UMahidol Channel มหิดล แชนแนลศูนย์ข้อมูลเครื่องสำอาง กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รวม สูตรกาแฟสด ยอดฮิต อร่อยจึ้งเหมือนซื้อที่ร้าน!

มัดรวม เมนูกาแฟดำน้ำผลไม้ สดชื่นซาบซ่า แคลน้อย

สูตรเด็ด‼️ กุ้งอบวุ้นเส้นง่ายๆในกระทะ วิธีทำให้เส้นเหนียวนุ่ม ไม่แฉะ หอม อร่อยทันที

สาคูเปียกลำไย

ข้าวเหนียวหน้าไข่แมงดาเทียม

วิธีทำ ไข่ลวก ไข่ลวกร้านกาแฟ แบบมืออาชีพ ไข่ขาวสุกอร่อย ไม่ติดเปลือก

มัดรวม 8 สูตรน้ำปั่นสุดจึ้ง คลายร้อน ต้อนรับซัมเมอร์

บทกรวดน้ำแบบสั้น หลังใส่บาตร ที่พุทธศาสนิกชนควรรู้

สูตร วุ้นลำไยน้ำกะทิมะพร้าวอ่อน

วิธีทำ ขนมช่อม่วง